4 ทิปเสริมพลังให้ Facebook Ads
เชื่อว่านักการตลาดหลายท่านประสบปัญหาค่า ads บน Facebook แพงขึ้นอย่างมากในปี 2021 นี้ ซึ่งมีสาเหตุจากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน ตั้งแต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุค (New) Normal หลังจากการระบาดของ Covid19 ตั้งแต่รอบแรกเป็นต้นมา ที่มีการซื้อของออนไลน์เยอะขึ้น ส่งผลผู้ขายทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ต่างเพิ่มงบประมาณโฆษณาออนไลน์มากขึ้นเช่นกัน
และแน่นอนว่า platform ยอดนิยมอย่าง Facebook ก็เป็น social network อันดับแรกที่งบโฆษณาถูกจัดสรรลงมามากที่สุด ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือการแข่งขันเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบน Facebook เพิ่มสูงขึ้นมากไปด้วย บวกกับปัจจัยเรื่องจำนวนประชากรบน Facebook ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่ เมื่อเทียบปีต่อปี
จำนวนผู้ใช้งาน Facebook ในไทย Q1 ปี 2020: 47 ล้านบัญชี
จำนวนผู้ใช้งาน Facebook ในไทย Q1 ปี 2021: 51 ล้านบัญชี
จึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาค่าโฆษณาแพงขึ้น ในเมื่อมีความต้องการลงโฆษณาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวแต่จำนวนคนที่จะเห็นโฆษณาไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าใด เมื่อ demand กับ supply ไม่สมดุลกันทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อแข่งกันโดยปริยาย
ดังนั้นบทความนี้จึงมีทิปดีๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาบน Facebook ให้ดีขึ้นและให้คุ้มค่าการลงทุนค่า ads โดยอ้างอิงข้อมูลบางส่วนจากบทความของ Social Media Examiner มาฝาก
1. ออกแบบ ads ให้ไม่เหมือน ads
ในต่างประเทศ มีเทคนิคการออกแบบ ads ให้หน้าตาไม่เป็น ads โดยแทนที่เราจะออกแบบ artwork ให้สวยงาม มี Headline มี branding มี call to action ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นท่าปกติที่นักการตลาดนิยมทำกันทั่วโลก เทคนิคนี้กลับออกแบบ ads ให้ดูไม่เหมือน ads มาที่สุด เคล็ดลับคือ ออกแบบออกมาให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานทั่วไปจะเห็นและเป็นรูปแบบที่คนทั่วไปจะโพสต์ทั้งในแง่รูปภาพที่ใช้หรือ caption แต่ยังคงความน่าสนใจ ผ่านการใส่ลูกเล่นหรือจุดเด่นอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเมื่อกลุ่มเป้าหมายไถ feed ผ่านแล้วยังรู้สึกสนใจหยุดดู แต่ยังคงให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับโพสต์อื่นๆ ที่เพื่อนๆ ของพวกเขาโพสต์กันปกติ โดยเฉพาะรูปภาพที่ใช้ ต้องไม่ใช้รูปภาพที่ถ่ายทำมาอย่างดีในสตูดิโอเพียงอย่างเดียว ลองเอารูปถ่ายจากมือถือเหมือนที่เพื่อนเราโพสต์ลง feed ดูบ้างก็ได้
อยากไรก็ดี เทคนิคนี้อาจจะไม่เหมาะกับบางแบรนด์ที่เน้นเรื่อง branding และการนำเสนอที่ต้องคุมโทนอยู่ตลอดเวลา
2. ใช้ศัพท์ที่ไม่เป็นทางการเกินไป ใส่ emoji ลงไปบ้าง
Facebook เป็น platform ที่เน้นใช้งานเพื่อความบันเทิงและเพื่อผ่อนคลายเป็นหลัก ต่างจาก platform อย่าง LinkedIn ที่เน้นความเป็นทางการมากกว่า ดังนั้นภาษาที่ใช้ใน Facebook เราสามารถใช้ภาษาที่ดูสบายๆ ได้ ไม่ต้องจริงจังหรือเป็นทางการตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราอยู่ในช่วงอายุ 20 ต้นๆ ถึง 30 ปลายๆ การใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการจนเกินไป หรือใกล้เคียงกับสิ่งที่เพื่อนๆ พวกเขาบน Facebook เขียน ก็จะช่วยให้โพสต์โฆษณาของเราดูเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น
แล้วก็อย่าลืมใส่ emoji ให้ดูสนุกสนานมากยิ่งขึ้นเหมาะกับผู้ใช้งานชาวไทยนะครับ
3. วิดีโอสั้นช่วยได้จริง
Facebook เน้นย้ำเรื่องนี้ค่อนข้างบ่อยในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ ว่าวิดีโอแบบสั้นๆ ไม่เกิน 30 วินาที ช่วยการจดจำแบรนด์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า
ทาง Social Media Examiner ยังแนะนำเพิ่มอีกสองข้อเมื่อเราต้องทำวิดีโอสำหรับขึ้นบน Facebook ads ไว้ดังนี้
ข้อแรก ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพของวิดีโอมาก เพราะ Facebook ไม่ใช่ platform ที่ต้องทำ video ads ระดับเดียวกับหนังโฆษณาบนทีวี (TVC) บางแบรนด์สามารถนำวิดีโอที่ถ่ายทำบนมือถือมาปรับใช้เป็น video ads ได้ด้วย หรือหลังๆ เรามักจะเห็นวิดีโอที่ทำจาก slide show หรือวิดีโอประเภท motion graphic ที่ไม่ต้องมีการถ่ายทำ production แต่นำภาพนิ่งหรือ graphic ต่างๆ มานำเสนอแบบเคลื่อนไหวให้น่าสนใจในรูปแบบวิดีโอ ดังนั้น อย่างกังวลเรื่องการ craft production video จนเกินไป กลุ่มเป้าหมายใน Facebook ไม่ได้ต้องการดู video ads ในระดับภาพยนตร์โฆษณาบน feed
ข้อสอง ทำวิดีโอให้สั้นเข้าไว้ เชื่อเถอะว่าเราสามารถใส่ข้อมูลได้มากพอใน 20 – 30 วินาที ยกเว้นแต่ว่าเราอยากจะเล่าเรื่องแบบยาวเพื่อสร้าง engagement มากกว่าเรื่องสร้างการจดจำ แบบนั้นวิดีโอแบบ 3-5 นาที ยังได้ผลอยู่สำหรับเป้าหมายดังกล่าว
4. ลองทำ A/B testing เรื่องรูปและข้อความบ้าง
เช่นเดียวกับเรื่องของวิดีโอสั้น เนื่องจากการทำ A/B testing การลงโฆษณาบน Facebook ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีการพูดถึงกันมากพอสมควร แต่ทิปนี้จะขอเน้นเรื่องการทดสอบกับรูปภาพและข้อความ แทนที่จะพูดเรื่องการตั้ง targeting
ลองทดสอบปรับเปลี่ยนดูว่า รูปภาพแบบไหนที่สามารถสร้างผลตอบรับได้ดีกว่า เช่น ระหว่างรูปสินค้าที่วางอยู่บนพื้นฉากสวยๆ หรือรูปสินค้าที่มีคนถือ แบบไหนมีคนทักหรือเกิดยอดขายดีกว่ากัน รวมถึงข้อความ ไม่ว่าจะเป็น text บน artwork หรือใน caption เช่น การเขียนแบบสั้นๆ หรือแบบยาวๆ ได้ผลดีกว่ากัน การมี headline ปังๆ อันเดียวบนรูป หรือการไม่มี headline ในรูปแต่มีแค่ caption แบบไหนได้ผลมากกว่า
อย่างไรก็ดี สำหรับเรื่องการทำ A/B testing สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องทดสอบทีละอย่าง เช่น อยากทดสอบเรื่องรูปภาพแต่ข้อความที่ใช้เหมือนกันหมด เป็นต้น หรือการจะทดสอบว่ามี headline บนรูปภาพกับแบบไม่มี อันไหนทำงานดีกว่ากัน ก็ต้องใช้รูปภาพเดียวกันถึงจะวัดได้จริง (ยังไม่นับรวมเรื่องการตั้ง audience targeting)
ลองเอาแนวทาง 4 ข้อนี้ไปปรับใช้ เพื่อเสริมพลังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการลงโฆษณาบน Facebook ให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้นกันดูนะครับ
ที่มา: https://www.socialmediaexaminer.com/facebook-ads-trends-2021-for-better-returns-on-ad-spend/
Photo by Will Porada on Unsplash