META Best Practice: จัดการบัญชีให้เรียบง่ายเข้าไว้ (Account Simplification)
ทาง META ได้แนะนำ framework เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ performance marketing campaign บนเครือของ META เอาไว้ในชื่อ framework ว่า “Performance 5” ซึ่งรวม 5 best practices ที่จะช่วยทำให้ campaign ของผู้ลงโฆษณาได้ผลลัพท์ที่ดีมากยิ่งขึ้น
หนึ่งใน framework ดังกล่าวคือหัวข้อ Account Simplification หรือเรียกว่า การจัดการบัญชีให้เรียบง่าย
เรื่องแรกที่ระบุคือ ควรจะต้องเก็บโครงสร้างของบัญชีโฆษณาให้ไม่ใหญ่มากจนเกินไป โดยแทนที่จะสร้างหลายๆ campaign และหลายๆ Ad Set ให้จำกัดจำนวน campaign และ Ad Set เอาไว้
จากตัวอย่าง diagram ด้านล่าง ช่วง learning phase จะช้าหาก:
- แยก campaign ออกมาตาม segment กลุ่มเป้าหมาย ทำให้ต้องแยกทั้ง Ad Set และ Ad ลงไปอีก
- มี campaign เดียวแต่แยก Ad Set ตาม Segment
ช่วง Learning phase จะเร็วขึ้นถ้า
- มี campaign เดียว Ad Set เดียว สำหรับทุก segment แล้วค่อยไปแตกในระดับ Ad อีกครั้ง


สูตรคำนวณจำนวน Ad Sets ที่เหมาะสม
เพื่อประเมิณว่าเราควรมี Ad Sets เท่าไหร่ในหนึ่ง campaign ทาง META แนะนำเอาไว้ดังนี้
จำนวน Ad Sets สูงสุด = งบประมาณต่อสัปดาห์ / Cost Per Result x 50
ตัวอย่าง หาก lead generation campaign ของเรา มี Cost Per Result (CPL) ที่ 1,500 บาท และในหนึ่งสัปดาห์เรามีงบ 100,000 บาท จะเข้าสูตรได้ดังนี้
จำนวน Ad Sets สูงสุด = 100,000 / (1,500 x 50)
จำนวน Ad Sets สูงสุด = 1.33 ซึ่งเท่ากับ 1 Ad Sets นั่นเอง
ใช้ AI (Advantage+) ให้เป็นประโยชน์
ต้องบอกว่า ทาง META ได้ปล่อย AI สำหรับการจัดการ campaign โฆษณามาสักพักแล้ว โดยเรียกว่า Advantage+ ซึ่งได้แนะนำเอาไว้ว่า ควรใช้ Advantage+ ในการช่วยเลือก placement หรือควรเลือกแบบ manual ให้มีมากกว่า 6 placement
50 Conversion ต่อสัปดาห์
เช่นเดียวกัน เรื่องจำนวน conversion ต่อสัปดาห์ควรต้องเกิน 50 ขึ้นไป เป็นเรื่องที่ META เน้นย้ำมาสองสามปีแล้ว
อย่าปรับเปลี่ยนบ่อย
ทุกครั้บที่ publish campaign ขึ้นไปแล้ว แต่ต้องเข้าไปแก้บ่อยๆ จะทำให้ระบบต้องเข้าช่วง learning phase อีกครั้ง ดังนั้นหากเป็นไปได้ ไม่ควรปรับเปลี่ยนบ่อยๆ ถ้าขึ้น campaign ไปแล้วต้องปล่อยให้ campaign รันไปจนออก learning phase เสียก่อน
ที่มา: https://www.facebook.com/fbp/commerce-readiness
ระบบต้องใช้ข้อมูลขั้นต่ำ 50 conversion event จึงจะนับว่าการเรียนรู้เสร็จสิ้น (Out of the learning phase)
คำถาม: ถ้า campaign สร้างยอดขาย (purchase conversion) รันไปแล้วแต่ performance ไม่ดี ทำให้เราต้องการ optimize แต่ยังไม่ครบ learning phase (ไม่ถึง 50 conversion event) เราควรทำอย่างไร?
คำตอบจาก Facebook: ให้ปรับ level ของ conversion ขึ้นมาอย่างน้อย 1 level เช่น แทนที่จะเป็น Purchase ให้ปรับขึ้นมาเป็น Add to Cart หรือ View Content เพื่อให้ได้อย่างน้อย 50 conversion event สำหรับ learning phase หลังจากนั้นเราค่อยปรับกลับไปเป็น Purchase ได้ เพราะเท่ากับว่าระบบได้เรียนรู้เพื่อ optimize หากลุ่มเป้าหมายที่จะก่อให้เกิด conversion ที่ต้องการได้มากพอแล้ว