ส่อง Consumer Insights จาก Social Listening : คนซื้อบ้าน/คอนโดยุคใหม่มองหาอะไร สำหรับปี 2025
ส่อง Consumer Insights จาก Social Listening : คนซื้อบ้าน/คอนโดยุคใหม่มองหาอะไร สำหรับปี 2025

พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์
การตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโดหรือที่อยู่อาศัยในยุคที่เศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้ ผู้บริโภคต้องใช้เวลาในการตัดสินใจอย่างละเอียดก่อนที่จะซื้อหรือลงทุน และที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่จะอยู่ในชีวิตเราไปอีกยาวนาน การฟังเสียงผู้บริโภคในโซเชียลมีเดีย (Social Listening) ช่วยให้แบรนด์ทราบถึงความรู้สึก ความคาดหวัง และความต้องการของลูกค้าได้ตั้งแต่การเลือกซื้อ การเลือกพื้นที่อยู่อาศัย จนถึงการบริการหลังการขาย หรือแม้กระทั่งปัญหาที่เป็นอุปสรรคของการซื้อ อย่างการขอสินเชื่อ หรือเรื่องอื่น ๆ เองก็ตาม (Consumer Insights) ดังนั้นการใช้ Social Listening เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ทำให้แบรนด์เข้าใจลูกค้า และนำมาปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาด ตลอดจนการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
ยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคสามารถหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ได้ง่ายและสะดวก การสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของแต่ละแบรนด์ และเว็บไซต์จึงเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบราคาหรือโปรโมชัน สิ่งอำนวยความสะดวก การเดินทาง ผลตอบแทนในการลงทุน รวมถึงการคำนวณสินเชื่อ นอกจากนี้การรีวิวบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยจากผู้ซื้อจริงหรือ Influencer มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบัน
เปิด 10 ปัจจัยที่ผู้ซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจซื้อ

ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญ และไม่ควรมองข้าม แน่นอนว่าการใช้ Social Listening สามารถช่วยให้แบรนด์ทราบปัจจัยเหล่านี้ในเบื้องต้น และนำไปปรับปรุงกลยุทธ์ของโครงการ หรือการสื่อสารได้อย่างทันท่วงที
ซึ่งในปี 2024 เราได้มีการเก็บข้อมูลการกล่าวถึงแบรนด์ชั้นนำในด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อทราบว่าผู้บริโภคบนโซเชียลมีเดียมีการกล่าวถึงในเรื่องใดบ้าง ซึ่งคาดว่าเป็นปัจจัยในการตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย ซึ่งในบทความนี้จะมาเจาะลึก 10 หมวดหมู่ที่ผู้บริโภคกล่าวถึงแบรนด์บ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยมากที่สุด
อันดับ 1 คือการออกแบบทั้งภายในและภายนอก (Design & Layout) โดยเฉพาะโครงการที่มีดีไซน์สวย หรูหรา และการออกแบบให้ที่พื้นที่การใช้สอยที่กว้างขวาง มีการระบายอากาศที่ดี รวมถึงการใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพ

อันดับ 2 คือ สถานที่ตั้ง (Location) ทำเลถือเป็นปัจจัยที่ผู้ซื้อคำนึงถึงไม่แพ้การออกแบบ โดยเฉพาะทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า หรือทางด่วน ใกล้สถานที่สำคัญอย่าง ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงเรียน ตลาด หาของกินสะดวก รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบโครงการต้องมีความปลอดภัย ไม่เปลี่ยว หรือบางครั้งผู้บริโภคบางกลุ่มยังมองสถานที่เงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน

อันดับ 3 คือ ราคาหรือโปรโมชัน (Price and Promotion) ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะการเปรียบเทียบราคากับคู่แข่ง และมีความสนใจโปรโมชัน ทั้งส่วนลดหรือของแถม

อันดับ 4 คือ ภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand Image) หรือชื่อเสียงของแบรนด์ โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพของแบรนด์ และความเชื่อมั่นที่มีต่อแบรนด์จนเกิดการบอกต่อผู้อื่น

อันดับ 5 คือ สิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) โดยเฉพาะเรื่องของส่วนกลาง ที่จอดรถ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และระบบการรักษาความปลอดภัย เพราะหากมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมกับที่อื่น

อันดับ 6 คือ บริการหลังการขาย (After Sales Service) ซึ่งมีผลในระยะยาวสำหรับผู้บริโภค อย่างการดูแล การแก้ไขปัญหาให้ลูกบ้าน ทีมนิติบุคคลของโครงการ

อันดับ 7 คือ สินเชื่อ และการผ่อนดาวน์ (Loan & Down Payment Plan) การเข้าถึงบริการสินเชื่อและเงื่อนไขการผ่อนชำระ โดยส่วนใหญ่เป็นลักษณะการสอบถามอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยลดภาระทางการเงินให้กับผู้ซื้อ การกู้ และโปรโมชันจากธนาคาร

อันดับ 8 คือ การลงทุน หรือการซื้อเพื่อปล่อยเช่า (Investment & Rental) ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจซื้อจากนักลงทุน โดยคำนึงถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า หากอยู่ในทำเลที่ดี ส่งผลต่อความต้องการเช่าสูง ทำให้ปล่อยเช่าได้ง่าย หรือสนใจแนวโน้มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์จำพวกหุ้นของบริษัท

อันดับ 9 คือ โครงการเพื่อสัตว์เลี้ยง (Pet-Friendly) กำลังเป็นกระแส เพราะเป็นเทรนด์ที่ผู้ซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยเลือกซื้อ โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่อนุญาตเลี้ยงสัตว์ มีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง

และอันดับ 10 คือ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (ESG & Sustainability) เห็นได้ว่าสิ่งแวดล้อมเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในทุกธุรกิจ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยมีความสนใจโครงการที่ช่วยลดพลังงาน การนำ Solar Panel มาใช้ และการมีพื้นที่สีเขียวในโครงการ รวมถึงการใช้วัสดุก่อสร้างยั่งยืน

นอกจากนี้ตัวแปรสำคัญของผู้บริโภคที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย คือความคิดเห็นเชิงลบ (Negative Comment) เป็นสิ่งที่แบรนด์ไม่ควรเพิกเฉย หรือมองข้าม เพราะเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้ผู้บริโภคลังเล หรือไม่ตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยของเรา
ตัวอย่างความคิดเห็นในเชิงลบ เช่น
สิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities)

สถานที่ตั้ง (Location)

การออกแบบทั้งภายในและภายนอก (Design & Layout)

ราคาหรือโปรโมชัน (Price and Promotion)

การลงทุน หรือการซื้อเพื่อปล่อยเช่า (Investment & Rental)

ข้อมูลเหล่านี้ช่วยสะท้อนได้ว่าหากแบรนด์สามารถนำสิ่งที่ผู้บริโภคคำนึงไปปรับใช้และนำเสนอตามความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงจุด ซึ่งช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ และยังเพิ่มโอกาสในการขายบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น
กรณีศึกษาแคมเปญการตลาดอสังหาฯ ของแบรนด์ชั้นนำ
Influencer Marketing กลายเป็นเครื่องมือที่แบรนด์ต่าง ๆ ใช้ในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดการรับรู้ (Awareness) การมีส่วนร่วม (Engagement) และการตัดสินใจซื้อ (Conversion) กับกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจาก Influencer เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น โดยขอยกตัวอย่างแคมเปญของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจในปีที่ผ่านมา ได้แก่
SANSIRI (แสนสิริ) เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีการใช้ Influencer โดยแต่ละแคมเปญมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น
- รายการฮาสหวีดโฮม เป็นรายการที่มีการใช้ Influencer ในสาย Entertainer อย่างคุณป๋อมแป๋มที่เป็นพิธีกรที่มีแชร์เรื่องราวสยองขวัญ

- รายการ Every Journey Matters เป็นรายการที่พูดคุยเรื่องเส้นทางชีวิตกว่าจะประสบความสำเร็จ การศึกษา การเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัย โดยเล่าผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็น คุณเนเน่ พรนับพัน, คุณรัศมีแข, คุณแทด จากวง Atlas, คุณโอ๊ตเจ้าของ DROP BY DOUGH, คุณอิ๊ง ชยธร เจ้าของช่อง Ingck และเจ้าของแบรนด์ Ingu และอื่น ๆ อีกมากมาย

- Pets of Sansiri ที่เน้นเจาะกลุ่มคนรักสัตว์โดยเฉพาะ ซึ่งเข้ากับเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่าง Pet Friendly เพื่อสร้างภาพลักษณ์ในด้านแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง โดยแบรนด์ได้มีการใช้ Influencer ที่เป็นสัตว์เลี้ยงและเจ้าของสัตว์เลี้ยงชื่อดัง รวมถึงสื่อสารเกี่ยวกับคอมมูนิตี้สัตว์เลี้ยง

- แคมเปญเพื่อนฉันเป็นคนดีย์ เป็นหนึ่งในแคมเปญด้าน CSR ที่เชิญชวนให้บุคคลที่มีชื่อเสียงมาทำกิจกรรมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำความดี

ทำให้เห็นว่าทางแบรนด์มีการเลือกใช้ Influencer ที่หลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายหลักของแต่ละแคมเปญ โดยการสื่อสารผ่านคอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั้งการสร้างความสนุก การให้ความรู้ และสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อขยายฐานผู้ติดตามหรือลูกค้าของแบรนด์
SC Asset เป็นแบรนด์ที่เน้นใช้ Influencer ที่มีความถนัดหรือความเชี่ยวชาญที่สอดคล้องกับแนวคิดของแคมเปญ เช่น
- Bangkok Design Week เป็นงานออกแบบระดับประเทศในการเน้นการออกแบบที่มีสไตล์และการออกแบบสถาปัตยกรรม สื่อถึงการที่แบรนด์ให้ความสำคัญเรื่องของดีไซน์ โดยเน้นการใช้ Influencer สายออกแบบ อย่าง art4d Magazine หรือสายอีเวนต์ อย่าง Urban Creature และ Timeout Bangkok เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรักงานออกแบบ

- Who is my Boss? Season 2 เป็นแคมเปญ Employer Branding ที่ต้องการดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่ โดยการใช้ Influencer ที่มีความถนัดด้านการทำงานอย่าง BrandBuffet, HR The Next Gen, WorkVenture ซึ่งทำให้ได้รับความสนใจในกลุ่มคนทำงานและนักศึกษาจบใหม่

ทำให้เห็นชัดเจนว่าทางแบรนด์มีการใช้กลยุทธ์ในการใช้ Influencer ที่สอดคล้องกับแนวคิดของแคมเปญแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกอินและมองว่าแคมเปญตรงกับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ดี
Activity content (กิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วม) ในการสื่อสารผ่าน Social Media เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ในแต่ละช่องทางของแบรนด์ โดยลักษณะที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้มากที่สุดยังคงเป็นกิจกรรม ที่กระตุ้นให้เกิดการติดตามช่องทางของแบรนด์ และการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการแชร์ ยกตัวอย่างแบรนด์ที่มีการโปรโมตกิจกรรมบนโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
- AP Thai มีการโปรโมตกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องและเนื้อหาใกล้ตัวกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีการแจกของรางวัลที่น่าสนใจอย่าง Voucher ส่วนลดต่าง ๆ และเป็นลักษณะเกมที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ร่วมกิจกรรมรู้สึกสนุกและรู้สึกมีโอกาสชนะแล้วได้รับของรางวัล

- Supalai มีการโปรโมตกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่อยู่อาศัยของแบรนด์โดยเน้นการตอบคำถามเกี่ยวกับโครงการ ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีการรับรู้ถึงโครงการในแง่ดี และมีความโดดเด่นในการใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย โดยเฉพาะ X ที่มีความโดดเด่นจากกิจกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับ Celebrities อย่างคุณหยิ่นและคุณวอร์ที่เป็นคู่จิ้น

จึงเห็นว่าแบรนด์ที่มีกิจกรรมที่ต่อเนื่องมีโอกาสที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกสนุกกับคอนเทนต์ของแบรนด์มากขึ้น และยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายได้ในระยะยาว
Sustainability marketing นอกจากนี้หลาย ๆ แบรนด์ยังมีการทำแคมเปญ Sustainability อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ มองว่าแบรนด์มีความใส่ใจ ยังช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่
- Singha Estate มีการเปิดตัวแคมเปญ Crossroads Maldives ที่มีแนวคิดในการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการคำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน และนำแนวคิดของการจัดการขยะ (Zero-Waste to Ocean) มาใช้ โดยเป้าหมายคือการลดขยะพลาสติกในโครงการให้เป็นศูนย์ และลดการปล่อยขยะลงทะเล นอกจากนี้ยังเป็นคอมมูนิตี้แบบครบวงจรในมัลดีฟส์ ซึ่งทำให้แบรนด์สามารถสร้างการรับรู้ (Awareness) ด้านอสังหาริมทรัพย์ในระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจในเรื่อง Eco-Tourism

- Sansiri มีการสื่อสารถึงแนวคิดแคมเปญ Sansiri Green Living Design ในคอนเซปต์ ชีวิตติดGlamบ้านต้องติดGreen ที่ผสมผสานระหว่างความสวยงาม (Glam) และสิ่งแวดล้อม (Green) รวมถึงออกแบบบ้านที่สามารถประหยัดพลังงาน โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูง มีสนใจบ้านที่มีการออกแบบเพื่อความยั่งยืน

จากตัวอย่างแคมเปญการใช้กลยุทธ์ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ ทำให้เห็นถึงการสื่อสารของแบรนด์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคทั้งจากการเลือกใช้ Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และการใช้กิจกรรมบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ในการกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างสรรค์แคมเปญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีความใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เปิดลิสต์ 5 เทรนด์ที่อยู่อาศัย บ้านแบบไหนที่มาแรง?
จากข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ช่วยให้เกิดการตัดสินใจ อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่ต่างกันก็น่าจะเป็นเรื่องของเทรนด์ที่อยู่อาศัย เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และมีความสนใจเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าล้ำสมัย จึงไม่แปลกใจที่แบรนด์ต่าง ๆ ต้องปรับตัวให้ทันต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคอยู่เสมอ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความสะดวกสบาย ความคุ้มค่า รวมไปถึงความยั่งยืน จึงทำให้แบรนด์ต้องมีการนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

Smart Home เมื่อบ้านรู้ใจคุณมากกว่าใคร
บ้านธรรมดาอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคนี้ แต่แบรนด์ต้องนำเสนอให้ผู้บริโภคเห็นถึงบ้านที่กลายเป็น Smart Home ในการเชื่อมต่อและมีความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านได้อย่างแม่นยำ สะดวก และปลอดภัย เช่น การสั่งงานด้วยเสียง การเปิดปิดไฟหรือเครื่องปรับอากาศ การแจ้งเตือนความปลอดภัย อย่างการตรวจจับการล้ม รวมถึงสามารถตรวจจับสภาพอากาศ เป็นต้น
เพราะสัตว์เลี้ยงคือครอบครัว Pet Friendly Home แบบไหนที่ตอบโจทย์
กลายเป็นเทรนด์ที่สำคัญไปแล้วในยุคนี้ ไม่เพียงแต่คนมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ แต่คำนึงถึงบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยที่มีการออกแบบพื้นที่เพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เพราะในปัจจุบันคนเลี้ยงสัตว์มีจำนวนมากขึ้น แถมยังมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าธุรกิจต่าง ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมีอัตราการเติบโตมากขึ้น ไม่ว่าจะ Pet Spa หรือ Pet Cafe เอง
Sustainability Living บ้านยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
เราจะเห็นว่าบ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือบ้านรักษ์โลก เป็นมาตรฐานใหม่ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ในช่วงสองสามปีมานี้ เพราะคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจโลกมากขึ้น จึงมีความสนใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการที่ช่วยลดผลกระทบต่อโลก ซึ่งบ้านที่ช่วยประหยัดพลังงาน และใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นที่อยู่อาศัยอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้บริโภคมองหา โดยแบรนด์ที่สามารถนำเสนอบ้านลักษณะนี้ให้กับผู้บริโภค ไม่เพียงช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดี แต่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ และช่วยโลกได้ในระยะยาว
ใช้พื้นที่ยังไงให้คุ้ม Multi-Functional Space ออกแบบบ้านให้รองรับทุกกิจกรรม
เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในการออกแบบบ้านที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ อย่างวิถีชีวิตของการ Work from home, การมีพื้นที่อย่างจำกัด และคนที่ต้องการพื้นที่ในการทำกิจกรรมอื่น ๆ การที่บ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้กับการซื้อมากขึ้น
Wellness Living บ้านที่มากกว่าที่อยู่อาศัย
ในยุคที่ปัญหาสุขภาพมีผลต่อการใช้ชีวิตมากขึ้น ผู้บริโภคจึงให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ในด้านคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพกายและใจ โดยบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันด้านสุขภาพ ทั้ง Covid-19 หรือ PM 2.5 และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังต้องมีการออกแบบเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างการออกแบบให้รับแสงธรรมชาติเพื่อลดความเครียด ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญ
เรียกได้ว่าเทรนด์ของที่อยู่อาศัยในปี 2025 ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ความยั่งยืน สุขภาพ และไลฟ์สไตล์มากขึ้น แบรนด์จึงต้องเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคมากกว่าเดิม และต้องทันกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะสามารถนำเสนอบ้าน คอนโด ที่เข้าใจผู้อยู่อาศัย
จาก Insight สู่ Action ที่วัดผลได้ (Measurement) : จับเทรนด์ให้ทัน เข้าใจลูกค้าให้ลึก ด้วยกลยุทธ์ที่ทำได้จริง
ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเครื่องมือ Social Listening ทำให้ทราบถึงปัจจัยที่ผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ราคาหรือโปรโมชัน จนถึงบริการหลังการขาย และจากกลยุทธ์ที่แบรนด์คู่แข่งใช้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Influencer การใช้กิจกรรมในการเพิ่มการมีส่วนร่วมและผู้ติดตาม รวมถึงการทำแคมเปญด้านความยั่งยืน นอกจากนี้เทรนด์ที่อยู่อาศัยในปี 2025 ถือเป็นแนวทางให้กับแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ในการนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคหากแบรนด์หรือธุรกิจที่มีความต้องการเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคผ่านการใช้ Social Listening ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด โดยเฉพาะกรณีเกิด Negative Comment หรือ Crisis ที่อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์แบรนด์ และการเก็บข้อมูลการกล่าวถึงแคมเปญ รวมถึงแบรนด์คู่แข่ง นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้กับการปรับกลยุทธ์ของแบรนด์หรือแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดูบริการเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/4aTlqYS หรือติดต่อได้ที่ https://bit.ly/3WOySXS